แอร์ 18000 btu ใช้เบรกเกอร์กี่แอมป์ และวิธีป้องกันไฟตก

How-many-amps-of-breaker-does-an-18000-BTU-air-conditioner-use.jpg

แอร์ 18000 btu ใช้เบรกเกอร์กี่แอมป์ เป็นคำถามที่หลายคนสงสัยก่อนตัดสินใจติดตั้งเครื่องปรับอากาศขนาดนี้ เพราะการเลือกเบรกเกอร์ไม่เหมาะสมอาจทำให้เกิดปัญหาไฟตกบ่อยครั้งหรือแม้กระทั่งเกิดอุบัติเหตุได้ การรู้จักคำนวณกำลังไฟฟ้าและเลือกอุปกรณ์ป้องกันที่ถูกต้องจึงเป็นสิ่งสำคัญมาก บทความนี้จะอธิบายทุกรายละเอียดตั้งแต่การคำนวณแอมแปร์ วิธีเลือกเบรกเกอร์ที่เหมาะสม ไปจนถึงเทคนิคป้องกันไฟตกที่ช่างมืออาชีพใช้กัน

การคำนวณแอมแปร์ของแอร์ 18000 BTU

เครื่องปรับอากาศ 18,000 BTU มีกำลังการใช้ไฟฟ้าที่แตกต่างกันขึ้นอยู่กับประเภทและยี่ห้อ โดยทั่วไปแล้วแอร์ขนาดนี้จะใช้ไฟฟ้าอยู่ในช่วง 1,500-2,200 วัตต์ ซึ่งเมื่อคำนวณเป็นแอมแปร์จะอยู่ระหว่าง 6.8-10 แอมป์ในระบบไฟฟ้า 220 โวลต์

การคำนวณแอมแปร์ทำได้โดยใช้สูตร: แอมแปร์ = วัตต์ ÷ โวลต์ ตัวอย่างเช่น หากแอร์ 18,000 BTU ใช้ไฟ 1,800 วัตต์ ในระบบ 220 โวลต์ จะได้ 1,800 ÷ 220 = 8.18 แอมป์ แต่ต้องจำไว้ว่าเลขนี้เป็นกระแสไฟฟ้าในการทำงานปกติ ในช่วงสตาร์ทเครื่อง กระแสไฟฟ้าจะสูงขึ้นเป็น 2-3 เท่าของกระแสปกติเป็นเวลาสั้นๆ

สิ่งที่ต้องพิจารณาเพิ่มเติมคือ ประเภทของเครื่องปรับอากาศ แอร์แบบ Inverter จะใช้ไฟฟ้าน้อยกว่าแบบ Non-Inverter ประมาณ 30-40% และมีกระแสสตาร์ทที่นุ่มนวลกว่า ทำให้ไม่ค่อยมีปัญหาเรื่องไฟตกเมื่อเปิดเครื่อง ขณะที่แอร์แบบเก่าอาจมีกระแสสตาร์ทสูงถึง 25-30 แอมป์ในช่วงแรก

ปัจจัยที่ส่งผลต่อการใช้ไฟฟ้า

การใช้ไฟฟ้าของแอร์ 18,000 BTU ไม่ได้ขึ้นอยู่กับขนาดเพียงอย่างเดียว แต่มีปัจจัยอื่นๆ ที่ส่งผลด้วย:

  1. ประสิทธิภาพของเครื่อง (EER/SEER): เครื่องที่มี EER สูงจะใช้ไฟน้อยกว่า
  2. อุณหภูมิภายนอก: อากาศร้อนจัดทำให้เครื่องทำงานหนักและใช้ไฟมากขึ้น
  3. การบำรุงรักษา: ไส้กรองสกปรกและคอยล์สกปรกทำให้ใช้ไฟเพิ่มขึ้น 15-20%
  4. ขนาดห้องและการรั่วซึม: ห้องใหญ่เกินไปหรือมีการรั่วซึมจะทำให้ใช้ไฟมากขึ้น
  5. อุณหภูมิที่ตั้งไว้: การตั้งอุณหภูมิต่ำเกินไปจะทำให้เครื่องทำงานต่อเนื่องและใช้ไฟมากขึ้น

การเลือกเบรกเกอร์ที่เหมาะสมสำหรับแอร์ 18000 BTU

แอร์ 18000 btu ใช้เบรกเกอร์กี่แอมป์? การเลือกเบรกเกอร์สำหรับแอร์ 18,000 BTU ต้องพิจารณาทั้งกระแสการทำงานปกติและกระแสสตาร์ท โดยทั่วไปแล้วควรเลือกเบรกเกอร์ที่มีค่าแอมแปร์สูงกว่ากระแสการทำงานปกติอย่างน้อย 25% เพื่อให้มีอัตรากำไรความปลอดภัย

สำหรับแอร์ 18,000 BTU ที่ใช้กระแสไฟฟ้าประมาณ 8-10 แอมป์ ควรใช้เบรกเกอร์ขนาด 15-20 แอมป์ แต่ในทางปฏิบัติ เบรกเกอร์ 20 แอมป์เป็นขนาดที่นิยมใช้กันมากที่สุด เพราะให้ความปลอดภัยที่เพียงพอและไม่หล่นบ่อยเมื่อเครื่องสตาร์ท

การเลือกประเภทเบรกเกอร์ก็สำคัญไม่แพ้กัน สำหรับแอร์ควรใช้เบรกเกอร์แบบ MCB (Miniature Circuit Breaker) ที่มีหน้าที่ป้องกันกระแสเกิน (Over Current) และลัดวงจร (Short Circuit) ส่วนการใช้ RCBO (Residual Current Breaker with Over-current protection) จะให้ความปลอดภัยมากขึ้นเพราะมีการป้องกันกระแสรั่วไฟด้วย

มาตรฐานการติดตั้งตามกฎหมายไทย

กรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน กำหนดมาตรฐานการติดตั้งระบบไฟฟ้าสำหรับเครื่องปรับอากาศ:

  • เบรกเกอร์หลัก: ต้องมีความจุเพียงพอสำหรับโหลดทั้งหมดในบ้าน
  • เบรกเกอร์ย่อย: แยกวงจรเฉพาะสำหรับแอร์แต่ละเครื่อง
  • สายไฟ: ใช้สายไฟ THW ขนาดไม่น้อยกว่า 2.5 ตร.มม. สำหรับแอร์ 18,000 BTU
  • ระบบต่อลงดิน: ต้องมีระบบลงดินที่มีประสิทธิภาพ ค่าความต้านทานไม่เกิน 25 โอห์ม
  • ป้ายเตือน: ติดป้ายระบุขนาดและคำเตือนที่ตู้เบรกเกอร์

สาเหตุของการไฟตกเมื่อเปิดแอร์

ปัญหาไฟตกเมื่อเปิดเครื่องปรับอากาศเป็นปัญหาที่พบได้บ่อย โดยเฉพาะในบ้านเก่าที่ระบบไฟฟ้าไม่ได้รับการอัพเกรด สาเหตุหลักมาจากกระแสสตาร์ทของคอมเพรสเซอร์ที่สูงมากในช่วง 2-3 วินาทีแรก ทำให้เบรกเกอร์ตัดวงจรเพื่อป้องกันระบบไฟฟ้า

กระแสสตาร์ทของแอร์ 18,000 BTU แบบเก่าสามารถสูงถึง 6-8 เท่าของกระแสปกติ หมายความว่าหากเครื่องใช้ไฟปกติ 8 แอมป์ ในช่วงสตาร์ทอาจดึงกระแสไฟฟ้าสูงถึง 48-64 แอมป์ ซึ่งหากเบรกเกอร์มีขนาดเพียง 20 แอมป์ ก็จะตัดวงจรทันที

นอกจากนี้ แรงดันไฟฟ้าที่ไม่เสถียรยังเป็นอีกหนึ่งสาเหตุสำคัญ เมื่อแรงดันไฟฟ้าต่ำกว่า 200 โวลต์ เครื่องปรับอากาศจะดึงกระแสไฟฟ้ามากขึ้นเพื่อชดเชยกำลังงานที่ขาดหาย ทำให้มีโอกาสไฟตกมากขึ้น โดยเฉพาะในช่วงเวลาที่มีการใช้ไฟฟ้าสูงสุด เช่น เวลา 18.00-22.00 น.

ปัจจัยเสริมที่ทำให้เกิดปัญหาไฟตก

หลายครั้งปัญหาไฟตกไม่ได้เกิดจากเบรกเกอร์เพียงอย่างเดียว แต่มีปัจจัยอื่นๆ เข้ามาเกี่ยวข้อง:

  • อายุของเบรกเกอร์: เบรกเกอร์เก่าจะมีความไวในการตัดวงจรเพิ่มขึ้น
  • ความร้อนของเบรกเกอร์: เบรกเกอร์ที่ร้อนเกินไปจะตัดไวกว่าปกติ
  • การต่อสายไฟ: การต่อสายไฟที่หลวมจะทำให้เกิดความต้านทานเพิ่มขึ้น
  • คุณภาพของแรงดันไฟ: แรงดันไฟที่ผันผวนทำให้เครื่องทำงานไม่เสถียร
  • การใช้ไฟฟ้าร่วมกับอุปกรณ์อื่น: การเปิดอุปกรณ์ไฟฟ้าหลายชิ้นพร้อมกัน

วิธีป้องกันไฟตกอย่างมีประสิทธิภาพ

การป้องกันไฟตกเมื่อเปิดแอร์ต้องทำอย่างเป็นระบบและพิจารณาหลายปัจจัย เริ่มต้นจากการเลือกเบรกเกอร์ที่มีขนาดเหมาะสม ไม่ใหญ่เกินไปจนไม่ปลอดภัย แต่ก็ไม่เล็กเกินไปจนตัดบ่อย

การปรับปรุงระบบไฟฟ้า

การปรับปรุงระบบไฟฟ้าให้รองรับแอร์ 18,000 BTU อย่างมีประสิทธิภาพ:

  • อัพเกรดเบรกเกอร์หลัก: เปลี่ยนเป็นขนาด 50-63 แอมป์ สำหรับบ้านที่มีแอร์หลายเครื่อง
  • เพิ่มวงจรเฉพาะ: ทำวงจรไฟฟ้าแยกเฉพาะสำหรับแอร์แต่ละเครื่อง
  • ใช้สายไฟขนาดใหญ่: เปลี่ยนเป็นสาย THW 4.0 ตร.มม. หรือใหญ่กว่า
  • ติดตั้ง Voltage Stabilizer: ช่วยรักษาแรงดันไฟให้เสถียร
  • เปลี่ยนเบรกเกอร์ใหม่: ใช้เบรกเกอร์คุณภาพดีที่มี Time Delay

การใช้อุปกรณ์ช่วยลดกระแสสตาร์ท

เทคโนโลยีสมัยใหม่มีอุปกรณ์ที่ช่วยลดปัญหากระแสสตาร์ทได้:

  • Soft Starter: ลดกระแสสตาร์ทได้ 50-70% โดยการควบคุมแรงดันไฟฟ้าแบบค่อยเป็นค่อยไป
  • Delay Timer: หน่วงเวลาการเปิดคอมเพรสเซอร์หลังจากเปิดพัดลม
  • Starting Capacitor: เพิ่มประสิทธิภาพการสตาร์ทของมอเตอร์
  • Smart Contactor: ควบคุมการเปิด-ปิดอย่างอัจฉริยะ
  • Power Factor Correction: ปรับปรุงค่า Power Factor ให้ดีขึ้น

การตรวจสอบและบำรุงรักษาระบบไฟฟ้า

การตรวจสอบระบบไฟฟ้าอย่างสม่ำเสมอจะช่วยป้องกันปัญหาไฟตกและรักษาความปลอดภัย การตรวจสอบควรทำโดยช่างไฟฟ้ามืออาชีพอย่างน้อยปีละครั้ง และเจ้าของบ้านก็สามารถตรวจสอบเบื้องต้นได้ด้วยตนเอง

การตรวจสอบเบื้องต้นรวมถึงการดูอาการผิดปกติของเบรกเกอร์ เช่น เสียงแปลกๆ การร้อนเกินไป หรือการกระดกตัวบ่อยครั้ง การตรวจสอบการต่อสายไฟที่หัวเบรกเกอร์ว่าแน่นหรือไม่ และการตรวจวัดแรงดันไฟฟ้าด้วยมัลติมิเตอร์

ตารางการตรวจสอบประจำ

การวางแผนตรวจสอบอย่างเป็นระบบจะช่วยป้องกันปัญหาก่อนเกิด:

  • ทุกเดือน: ตรวจสอบการทำงานของเบรกเกอร์ และความร้อนของตู้เบรกเกอร์
  • ทุก 3 เดือน: ทดสอบการทำงานของ RCBO ด้วยปุ่ม Test
  • ทุก 6 เดือน: ตรวจสอบการต่อสายไฟและการเชื่อมต่อทั้งหมด
  • ทุกปี: เรียกช่างไฟฟ้ามาตรวจสอบระบบทั้งหมดอย่างละเอียด
  • เมื่อมีปัญหา: แก้ไขทันทีอย่าปล่อยให้อาการรุนแรงขึ้น

สัญญาณเตือนที่ต้องเรียกช่างด่วน

มีสัญญาณบางอย่างที่แสดงว่าต้องเรียกช่างมาตรวจสอบทันที:

  • เบรกเกอร์ร้อนจัดหรือมีกลิ่นไหม้: อาจมีปัญหาการต่อสายหรือเบรกเกอร์เสีย
  • ไฟกระพริบหรือสว่างมืดบ่อย: แสดงถึงปัญหาแรงดันไฟฟ้าไม่เสถียร
  • เบรกเกอร์ตกทุกครั้งที่เปิดแอร์: เบรกเกอร์อาจเล็กเกินไปหรือมีปัญหา
  • เสียงแปลกๆ จากตู้เบรกเกอร์: อาจมีส่วนประกอบหลวมหรือเสียหาย
  • ได้รับไฟดูดเมื่อสัมผัสแอร์: ปัญหาระบบลงดินหรือมีกระแสรั่วไฟ

กังวลเรื่องระบบไฟฟ้าและการติดตั้งแอร์ใหม่? ร้านวัฒนาแอร์มีทีมช่างไฟฟ้ามืออาชีพที่ผ่านการรับรองมาตรฐาน พร้อมให้บริการตรวจสอบระบบไฟฟ้า คำนวณขนาดเบรกเกอร์ที่เหมาะสม และติดตั้งเครื่องปรับอากาศอย่างถูกต้องตามมาตรฐานความปลอดภัย เรารับประกันคุณภาพงานติดตั้งและให้คำปรึกษาฟรีเรื่องการใช้ไฟฟ้าอย่างปลอดภัย ติดต่อเราวันนี้เพื่อความสบายใจในการใช้แอร์โดยไม่ต้องกังวลเรื่องไฟตก